วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

 วิกฤตใจกลางพายุของธุรกิจโรงแรม จากโรคระบาดโคโรน่าไวรัส 2019

บทนำ ก่อนเข้าสู่กลางพายุ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในปี 2559 จนถึงปี 2565 ปัจจุบันดังนี้

1.เหตุการณ์สวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2559

และการเข้ามาของแอร์บีเอ็นบีและมีการสร้างคอนโดมากมายในจังหวัดภูเก็ต

2. เหตุการณ์เรือบรรทุกนักท่องเที่ยวจีนล่มในจังหวัดภูเก็ตในกรกฏาคมปี 2561 ทำให้โรงแรมไม่สามารถชำระหนี้

ธนาคารอิสลามได้จึงต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อันเนื่องมาจากทัวร์และนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงอย่างฉับพลัน

หลังจากมีชาวจีนตายเป็นจำนวนมาก

3. เหตุการณ์เชื้อไวรัสโคโรน่าไวรัส 2019 ระบาดในปลายปี 2562 ต่อเนื่องกันจนมาถึงต้นปี 2565

ทำให้ต้องมีการเลิกจ้างพนักงานและและทำดำเนินการพักทรัพย์พักหนี้สินและโอนโรงแรมให้ธนาคารอิสลาม

โดยจ่ายอัตราค่าเช่าต่อเดือน 70,000 บาทต่อเดือนเริ่มตั้งแต่ธันวาคม 2564 

โดยดำเนินการโครงการพักหนี้ 3 ปีและต้องหาเงินมาจ่ายธนาคารอิสลาม 77 ล้านต่ออายุได้คราวละ 1 ปี

หากไม่สามารถดำเนินการไถ่ถอนจากธนาคารอิสลามได้ตามกำหนดระยะเวลาดังกล่าวโรงแรมจะต้องถูกยึดทรัพย์


ตอนนี้โรงแรมในจังหวัดภูเก็ตเริ่มมีขายให้ชาวต่างชาติและบางโรงแรมเกิดเป็นหนี้ NPL เป็นจำนวนหลายโรงแรม ยอดการเปลี่ยนเจ้าของมูลค่าการซื้อขายโรงแรม ในปี 2564 ทั่วประเทศ จำนวน 10,000 ล้านบาท

ตอนนี้โรงแรมกำลังปล่อยให้ต่างชาติเช่าใน อัตรา 350000บาทในปี 2565

และ 700000 บาทต่อเดือนในปี 2566

รูรั่ว ของโรงแรม เลือดทีไหลไม่หยุด 1.1 ดอกเบี้ยธนาคารอิสลาม ปีละประมาณ 6 ล้าน ตอนนี้ถุกหยุดด้วยนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย พักทรัพย์ พักหนี้

2.จากดอกเบี้ยเปลี่ยนมาเป้นค่าเช่า โรงแรมมาบริหารจัดการ ปีละ 840,0000(เดือนละ 7 หมื่นบาท)

3.ดอกเบีี้ยจากการยืมทรัพย์สินกรรมการ และใช้เครดิตส่วนบุคคล(บ้านพี่ดิ่ง) ปีละ 104,000 บาท(ธนาคารกรุงไทย)

เหลือหนี้สินราว 2.4 ล้านบาท ผ่อนมาตั้งแต่ปี 2551 รวม 13 ปี จ่ายดอกเบี้ยรวมกันไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท 4.หนี้ ธ.ทิสโก้ ราว 3.9 แสนบาท ดอกเบี้ยราว 3 พันบาทต่อเดือน 36000 บาทต่อปี 5.หนี้ ธ. SME ราว 7 แสนบาท ดอกเบี้ยราว ดอกเบี้ยราว 5 พันบาทต่อเดือน 6 หมื่นบาทต่อปี 6.หนี้ ธ. กรุงศรี ราว 1 ล้านกว่าบาท ดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นบาทต่อปี 7.ค่าภาษีที่ดิน ราว 2 แสนบาท หารกับคนเช่าเหลือคนละแสนบาทต่อปี 8.ค่า maintenance โรงแรมค่าไฟ ค่าน้ำ เงินเดือนพนักงาน เดือนละ 1แสน ตุ้งแต่เดือนเมษายนส่วนนี้จะหายไป 9.หนี้นอกระบบ ประเมินไม่ได้ 10.ค่านายหน้า 700000 บาท 11.ค้าง hotel bed ราว 1 ล้านกว่าบาท ดังนั้นสรุป ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 โรงแรมจะมีรายจ่ายประจำ ส่วนที่จ่าย ศูนย์เปล่า เงินรั่วออกโดยไม่ได้อะไรกลับมา ดังนี้ ข้อ 2 ( ค่าเข่า ธ อิสลาม ) 840,000 บาท + (ข้อ 3) 104000 บาท +(ข้อ 4 ) 36000 บาท +(ข้อ 5) 60000 บาท +ข้อ 6 ไม่ต่ำกว่า 60000 บาท +ข้อ 7 100000 บาท + ข้อ 10 ค่านายหน้า 679,000บาท + ข้อ 11 hotel bed 1 ล้าน ดังนั้น รูรั่วขั้นต่ำ ที่ต้องจ่ายออก 2564 แบบศูนย์เปล่า ไม่น้อยกว่า 2,879,000 บาท (ไม่รวมค่าซ่อมแซม และดอกเบี้ยนอกระบบ) หากหักลบค่านายหน้าออกจะอยู่ที่ 2.2 ล้านบาท ต่อปี รายรับ ค่าประกันค่าเช่า 2 ล้าน ค่าเช่า 350000 บาท *8 +70000*1 =3.5 ล้าน รวม 5.5 ล้าน เมือ่เอามาลบกัน จะเหลือเงิน น้อยกว่า 5.5-2.879 = 2.621 ล้าน เพราะต้องผ่อนเงินต้นด้วย เงินจะเหลือน้อยกว่า 2.621 ล้าน


วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559







  ปีนี้เิริ่มต้นดี  แต่สุดท้ายอาจแย่กว่าปีที่แล้ว    เรากำลังสู้กับอะไร?












ดูจากภาพจะเห็นว่าโรงแรมกำลังสู้กับอัตราทด  จากดอกเบี้ยทั้งของธนาคารหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ

มูลค่าของโรงแรมมูลมีค่ามากกว่าหนี้  ทั้งในระบบและนอกระบบรวมกัน  แต่หนี้ทั้ง 2 อย่างลดลงน้อยมาก  นั่นเป็นเพราะ เรากำลังเสียเปรียบเชิงกล   ลงแรงในทรัพย์สินที่มกกว่ามูลค่าหนี้ ลงทุนมาก  แต่ได้ผลน้อย   ทำให้เหนื่อยมาก เฟืองหมุนไปข้างหน้าน้อยมาก   สรุปกำลังแพ้เงินที่น้อยกว่าจากอัตรดอกเบียที่มีอตราทดสูงได้เปรียบเชิงกลสูง

สรุปเสียเปรียบเชิงกล  ลงแรงมาก  แต่ได้น้อย  ระยะยาวจะเหนื่อยและแพ้ในที่สุด คือ  เฟืองจะหยุดเดิน

และสุดท้ายจะเดินถอยหลัง  นั่นหมายถึง มูลค่าหนี้  รวมจะทวีคูณเพิ่มมากขึ้น   ถึงแม้นขณะนี้เฟืองยังไปข้างหน้าอยู่แต่ไปอัตราน้อยมาก  หรือเกือบจะหยุดเดิน

เช่นโรงแรมลงแรง ลงเงิน  ทำ 5 ได้ 1   แต่ดอกเบี้ยธนาคารทำ  1 ได้ 2    ดอกเบี้ยนอกระบบทำ 1ได้ 3


ยังไม่ได้ดูข้อมูล ผลกำไร  ขาดทุน และมูลค่าดอกเบี้ย ทั้งในและนอกระบบรวมกัน  จริงๆ  ตอนนี้เฟืองอาจเดินถอยหลังแล้วก็ได้


ทางแก้ไข


1.ทำให้หมุนเฟืองเร็วขึ้น   นั่นคือทำให้ผลกำไรของโรงแรมมากขึ้น

แต่ตอนนี้สถาณการณ์ค่อนข้างลำบาก

เพราะ

1.1ทัวร์จีนลดลงจากทัวร์ศูนย์เหรียญที่หายไป  และการสวรรคตของรัชกาลที่ 9 ทำให้ตอนี้นักท่องเที่ยวจีนลงลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

2.2การเข้ามาของคู่แข่งทางอ้อมของ  คอนโดมิเนียม  บ้านเช่า  ผ่าน   airbnp  booking.com  flipkey

ทำให้เกิด over supply  โรงแรมไม่สามารถกำหนดราคาได้  แต่เป็นการกำหนดราคาของตลาดทำให้ราคาห้องพักต่อคืนลงลง
ดังนั้น  อัตราการทำกำไรของโรงแรมมีแนวโน้มลงลง

3.เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเกิดจากประชากรโลกโดยรวมจะเข้าวัยผู้สูงอายุยกเว้นจีน  ซึ่งจะเช้าเขตผู้สูงอายุ อีก 5-10  ปีข้างหน้า   ดังนั้น  แนวโน้มเศรษฐกิจจะซบเซา  GDP ไม่โต  ไปอีกหลายปี

จนกว่าเด็กจะเกิดใหม่เพิ่มขึ้น






2.หาเฟืองอีกตัวมีอัตราทดได้เปรียบเชิงกล ซึ่งตอนนี้  คือ  การที่แม่ทำโครงการ pool villa  เพื่อเอาเงินส่วนหนึ่งมาช่วยโรงแรม

และโครงการนี้มีผลต่อโรงแรมมากเพราะ  ดึงความสามารถด้านเครดิต  ดึงแรง  ดึงเวลา  ของการหมุนเฟืองของโรงแรมทางอ้อมไปด้วย  เพราะ บางคนต้องก่อหนี้เพิ่ม  ทำให้เครดิตที่จะช่วยโรงแรมลดลง
ดึงเวลาในการแก้ปัญหาของโรงแรมด้วย   อีกทั้ง  ต้องกู้หนี้นอกระบบ  สู้กับอัตราดอกเบี้ยด้วย

หากทำไม่สำเร็จสู้กับอัตราทดดอกเบี้ยไม่ได้  สุดท้ายจะได้ภาพนี้








นั่นคือจะดึงให้โรงแรมยิ่งถอยหลัง  ผลขาดทุนมากขึ้น

โดยเมื่อ  4 ปีที่แล้ว  เฟืองตัวนี้ที่มาช่วยโรงแรม ก็คือ  การที่โรงแรมถูกเช่า โดยเขาเอาโรงแรมไปทำ time sharing  ซึ่งก็คือ  การทำน้อย ได้มาก   เป็นการได้เปรียบเชิงกล

นั่นคือเสมือน การเพิ่มเฟืองเพิ่มอัตราทดเข้าไป  โดยคนทำรับความเสี่ยงเองทั้งหมด

และนั้นทำให้สถานการณ์ของโรงแรมดีขึ้นชั่วคราวและอยุ่รอดมาได้


ดังนั้นโครงการ pool villa ที่ทำอยู่จึงมีความสำคัญมากว่าจะทำให้เฟืองโรงแรมไปหน้าหรือถอยหลัง





3.หาทางกำจัดเฟืองหนี้นอกระบบออกไป


ตอนนี้หนี้นอกระบบประมาณ 3-5 ล้าน  ไม่นับรวมโครงการ pool villa

หนี้นอกระบบ  หากเฟืองนี้ใหญ่ขึ้นโรงแรมเสียเปรียบอัตราทดมาก  ทำให้ต้องออกแรงมากขึ้น

มีโอกาสแพ้สูง  ทำให้เสียกำลังในการต่อสู้กับเฟืองอีกตัว  คือหนี้ในระบบ

วิธีกำจัดคือ  ต้องหาทรัพย์สิน  จากนอกเฟืองโรงแรม มายิงกำจัดออกไป

หรือหาเฟืองอีกตัวที่เท่ากันมาต่อเพื่อหยุดอัตราทดนี้  หรือต้องทำให้เฟืองตัวนี้หายไปเลย

ซึ่งจริงฟแล้วมีวิธี หลายวิธี



4.หาทางทำให้อัตราทดของเฟืองหนี้ในระบบให้น้อยลง

ซึ่งก็คือการรีไฟแนนซ์   ซึ่งต้องทำให้ได้  ก่อน  สถาณการณ์เลวร้ายไปกว่านี้








ปล.ภาพบนสุดเป็น ภาพเขื่อนแม่งัด






ภาพเขื่อนแม่งัด


  ปีนี้เิริ่มต้นดี  แต่สุดท้ายอาจแย่กว่าปีที่แล้ว    เรากำลังสู้กับอะไร?












ดูจากภาพจะเห็นว่าโรงแรมกำลังสู้กับอัตราทด  จากดอกเบี้ยทั้งของธนาคารหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ

มูลค่าของโรงแรมมูลมีค่ามากกว่าหนี้  ทั้งในระบบและนอกระบบรวมกัน  แต่หนี้ทั้ง 2 อย่างลดลงน้อยมาก  นั่นเป็นเพราะ เรากำลังเสียเปรียบเชิงกล   ลงแรงในทรัพย์สินที่มกกว่ามูลค่าหนี้ ลงทุนมาก  แต่ได้ผลน้อย   ทำให้เหนื่อยมาก เฟืองหมุนไปข้างหน้าน้อยมาก   สรุปกำลังแพ้เงินที่น้อยกว่าจากอัตรดอกเบียที่มีอตราทดสูงได้เปรียบเชิงกลสูง

สรุปเสียเปรียบเชิงกล  ลงแรงมาก  แต่ได้น้อย  ระยะยาวจะเหนื่อยและแพ้ในที่สุด คือ  เฟืองจะหยุดเดิน

และสุดท้ายจะเดินถอยหลัง  นั่นหมายถึง มูลค่าหนี้  รวมจะทวีคูณเพิ่มมากขึ้น   ถึงแม้นขณะนี้เฟืองยังไปข้างหน้าอยู่แต่ไปอัตราน้อยมาก  หรือเกือบจะหยุดเดิน

เช่นโรงแรมลงแรง ลงเงิน  ทำ 5 ได้ 1   แต่ดอกเบี้ยธนาคารทำ  1 ได้ 2    ดอกเบี้ยนอกระบบทำ 1ได้ 3


ยังไม่ได้ดูข้อมูล ผลกำไร  ขาดทุน และมูลค่าดอกเบี้ย ทั้งในและนอกระบบรวมกัน  จริงๆ  ตอนนี้เฟืองอาจเดินถอยหลังแล้วก็ได้


ทางแก้ไข


1.ทำให้หมุนเฟืองเร็วขึ้น   นั่นคือทำให้ผลกำไรของโรงแรมมากขึ้น

แต่ตอนนี้สถาณการณ์ค่อนข้างลำบาก

เพราะ

1.1ทัวร์จีนลดลงจากทัวร์ศูนย์เหรียญที่หายไป  และการสวรรคตของรัชกาลที่ 9 ทำให้ตอนี้นักท่องเที่ยวจีนลงลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

2.2การเข้ามาของคู่แข่งทางอ้อมของ  คอนโดมิเนียม  บ้านเช่า  ผ่าน   airbnp  booking.com  flipkey

ทำให้เกิด over supply  โรงแรมไม่สามารถกำหนดราคาได้  แต่เป็นการกำหนดราคาของตลาดทำให้ราคาห้องพักต่อคืนลงลง
ดังนั้น  อัตราการทำกำไรของโรงแรมมีแนวโน้มลงลง

3.เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเกิดจากประชากรโลกโดยรวมจะเข้าวัยผู้สูงอายุยกเว้นจีน  ซึ่งจะเช้าเขตผู้สูงอายุ อีก 5-10  ปีข้างหน้า   ดังนั้น  แนวโน้มเศรษฐกิจจะซบเซา  GDP ไม่โต  ไปอีกหลายปี

จนกว่าเด็กจะเกิดใหม่เพิ่มขึ้น






2.หาเฟืองอีกตัวมีอัตราทดได้เปรียบเชิงกล ซึ่งตอนนี้  คือ  การที่แม่ทำโครงการ pool villa  เพื่อเอาเงินส่วนหนึ่งมาช่วยโรงแรม

และโครงการนี้มีผลต่อโรงแรมมากเพราะ  ดึงความสามารถด้านเครดิต  ดึงแรง  ดึงเวลา  ของการหมุนเฟืองของโรงแรมทางอ้อมไปด้วย  เพราะ บางคนต้องก่อหนี้เพิ่ม  ทำให้เครดิตที่จะช่วยโรงแรมลดลง
ดึงเวลาในการแก้ปัญหาของโรงแรมด้วย   อีกทั้ง  ต้องกู้หนี้นอกระบบ  สู้กับอัตราดอกเบี้ยด้วย

หากทำไม่สำเร็จสู้กับอัตราทดดอกเบี้ยไม่ได้  สุดท้ายจะได้ภาพนี้








นั่นคือจะดึงให้โรงแรมยิ่งถอยหลัง  ผลขาดทุนมากขึ้น

โดยเมื่อ  4 ปีที่แล้ว  เฟืองตัวนี้ที่มาช่วยโรงแรม ก็คือ  การที่โรงแรมถูกเช่า โดยเขาเอาโรงแรมไปทำ time sharing  ซึ่งก็คือ  การทำน้อย ได้มาก   เป็นการได้เปรียบเชิงกล

นั่นคือเสมือน การเพิ่มเฟืองเพิ่มอัตราทดเข้าไป  โดยคนทำรับความเสี่ยงเองทั้งหมด

และนั้นทำให้สถานการณ์ของโรงแรมดีขึ้นชั่วคราวและอยุ่รอดมาได้


ดังนั้นโครงการ pool villa ที่ทำอยู่จึงมีความสำคัญมากว่าจะทำให้เฟืองโรงแรมไปหน้าหรือถอยหลัง





3.หาทางกำจัดเฟืองหนี้นอกระบบออกไป


ตอนนี้หนี้นอกระบบประมาณ 3-5 ล้าน  ไม่นับรวมโครงการ pool villa

หนี้นอกระบบ  หากเฟืองนี้ใหญ่ขึ้นโรงแรมเสียเปรียบอัตราทดมาก  ทำให้ต้องออกแรงมากขึ้น

มีโอกาสแพ้สูง  ทำให้เสียกำลังในการต่อสู้กับเฟืองอีกตัว  คือหนี้ในระบบ

วิธีกำจัดคือ  ต้องหาทรัพย์สิน  จากนอกเฟืองโรงแรม มายิงกำจัดออกไป

หรือหาเฟืองอีกตัวที่เท่ากันมาต่อเพื่อหยุดอัตราทดนี้  หรือต้องทำให้เฟืองตัวนี้หายไปเลย

ซึ่งจริงฟแล้วมีวิธี หลายวิธี



4.หาทางทำให้อัตราทดของเฟืองหนี้ในระบบให้น้อยลง

ซึ่งก็คือการรีไฟแนนซ์   ซึ่งต้องทำให้ได้  ก่อน  สถาณการณ์เลวร้ายไปกว่านี้












วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การวิเคราะห์ธุรกิจ SME ด้วยหลัก Five Force

ตัวอย่างการวิเคราะห์ธุรกิจ SME ด้วยหลัก Five Force




  มเดล
 Five Force ของ Michael Porter เป็น Model ที่นิยมกันมากในการวิเคราะห์ตลาดเพื่อให้รู้ถึงสภาพแวดล้อมของธุรกิจของเรากับสิ่งรอบข้างที่มีผลต่อการทำธุรกิจของเรา โดยเป็นการวิเคราะห์ในเชิงบวกที่ไม่ใช่เพียงการเอาชัยเหนือคู่แข่งแต่ยังพูดถึงการร่วมมือกันเป็นพันธมิตร อย่างไรก็ตาม มักมีความเข้าใจกันว่า การวิเคราะห์ธุรกิจโดยนำหลัก Five Force มาใช้นั้นควรใช้สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการแข่งขันสูงส่วนธุรกิจขนาดเล็กนั้นไม่มีความจำเป็นต้องทำเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมก็สามารถใช้ Model ธุรกิจแบบ Five Force มาใช้ได้เพื่อเสริมให้ธุรกิจของเรานั้นมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น


Five Force:
1. Rivalry Among Current Competitors: การแข่งขันกันระหว่างคู่แข่งภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน
2. Bargaining Power of Suppliers: อำนาจต่อรองของ Supplier
3. Bargaining Power of Customers: อำนาจต่อรองของลูกค้า
4. Threat of Substitute Products or Services: ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน
5. Threat of New Entrance: ภัยคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่

สิ่งที่ควรคำนึงถึง
  1. ทำยังไงให้ อำนาจต่อรองของ Supplier และของลูกค้า  ต่ำลง
-              อาจทำได้โดย ผู้ผลิต(หมายถึงเรา) อาจรวมกลุ่มกันขึ้นมาต่อรองราคากับ Supplier เช่น สมมติว่า ถ้าเราเป็นเจ้าของร้านคอมในพันทิพย์ เราอาจรวมตัวกัน 100 ร้าน สั่งคอมมาทีเดียว ให้Supplier ลดราคาให้เป็นพิเศษ-              สำหรับลูกค้า เราอาจรวมตัวกันทุกร้านขายราคาเดียวกันหมด ลูกค้าก็กดราคาเราไม่ได้
  1. ทำยังไงที่จะทำให้ภัยคุกคามไม่เกิด เช่น ตั้งชมรมผู้ขายคอม แล้วบอกเจ้าของตึกว่า ไม่ให้รับร้านค้าเพิ่มแล้ว


ตัวอย่างกรณีสมมติ-การวิเคราะห์ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามหลัก Five Force
****** ตัวอย่างนี้นำเสนอเพื่อวิเคราะห์ Model ทางการตลาดแบบ Five Force เท่านั้น มิได้อ้างอิงเหตุการณ์และสถานที่ที่มีอยู่จริงแต่อย่างใด*****

ธุรกิจ : ร้านขายของชำร่วยในสวนจตุจักร



ธุรกิจนี้เป็นการเปิดร้านขายของชำร่วยในตลาดนัดสวนจตุจักร  ซึ่งของชำร่วยที่ขายอาจเป็นได้ทั้งของขวัญ  ของที่ระลึก  หรือของสมนาคุณที่นิยมแจกตามงานต่างๆ  เช่น  เครื่องเคลือบเซรามิค เครื่องปั้นดินเผา  ช้อนส้อม  พวงกุญแจ  ไฟฉายขนาดพกพา  เป็นต้น  โดยจะนำมาวิเคราะห์กลไกทางการตลาดด้วยหลัก Five Force Analysis ของ Michael Port ดังนี้

1.       Rivalry Among Current Competitors (การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม)
จากการสำรวจในตลาดนัดสวนจตุจักรพบว่าธุรกิจขายของชำร่วยมีผู้ประกอบการอยู่ประมาณ 15รายโดยจำแนกเป็น 2 กลุ่ม  คือ  กลุ่มโซนขายของชำร่วย (10 ราย)  และกลุ่มที่กระจายอยู่ทั่วไป (5ราย)
ในกลุ่มโซนที่ขายของชำร่วยด้วยกันเองนั้นก็มิได้ตั้งอยู่ติดกัน  การแข่งขันแย่งชิงลูกค้าไม่เข้มข้นเท่ากับกรณีที่ร้านอยู่ติดกัน เช่น  ในย่านพาหุรัด  เป็นต้น  เนื่องจากไม่มีการเปรียบเทียบสินค้าให้เห็นได้ง่ายเพราะว่าร้านอยู่ห่างกันพอสมควร(ประมาณ 3-4 ห้อง)  และผู้ค้าเองก็สามารถที่จะนำเสนอสินค้าได้ง่ายขึ้น
ส่วนในกลุ่มที่อยู่กระจายอยู่ทั่วไปนั้นอาจเรียกได้ว่าไม่มีผลมากนักต่อการแข่งขัน  เนื่องจากสินค้าชนิดนี้เป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม  และทางสวนจตุจักรเองก็จัดโซนให้ร้านค้าที่ขายของชำร่วยนี้อยู่เป็นกลุ่มเดียวกัน  ตามปกติแล้วลูกค้าที่ต้องการเข้ามาหาซื้อของมักจะตรงเข้าไปหาแหล่งอยู่แล้ว  ส่วนลูกค้าที่ใช้บริการร้านค้าในกลุ่มนี้มักจะเป็นพวกที่ได้รับคำแนะนำบอกต่อมาอีกที  ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นคนละกลุ่มกัน

อย่างไรก็ตามก็มิควรตัดร้านค้าที่อยู่นอกกลุ่มออกจากคู่แข่งขัน  เพราะว่าร้านพวกนี้อาจจะคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ  ในการขายสินค้าเพื่อแข่งขันกับกลุ่มที่อยู่รวมกัน  ดังนั้นผู้ค้าจึงควรพัฒนาสินค้าและบริการของร้านอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันมิให้ข้อได้เปรียบเรื่องฐานลูกค้านี้ถูกแย่งชิงไปโดยคู่แข่งขัน

2.       Bargaining Power of Suppliers (อำนาจการต่อรองของ Suppliers)
สินค้าของชำร่วยส่วนใหญ่จะมีแหล่งผลิตมาจากที่เดียวกัน  เช่น  เครื่องเซรามิคจะมีโรงงานผลิตโดยเฉพาะคือโรงงงานย่านดอนเมือง  หรือช้อนส้อมแสตนเลสก็จะมีโรงงานที่ผลิตจากแหล่งเดียวกัน(ย่านลาดกระบัง)  เป็นต้น  ดังนั้น Suppliers จะมีอำนาจต่อรองมากกว่าเพราะว่าแหล่งผลิตสินค้าประเภทนี้มีไม่มากนัก  แต่ก็ยังมีวิธีการที่สามารถนำมาใช้เพื่อลดอำนาจการต่อรองของ Suppliers ได้หลายวิธี
วิธีการที่จะลดอำนาจของ Suppliers วิธีหนึ่ง  ก็คือ  ผู้ค้าขายของชำร่วยจะต้องรวมกลุ่มกันไปต่อรองราคา  ในกรณีที่สวนจตุจักรนี้ผู้ค้าทั้ง 10 รายที่อยู่ในโซนเดียวกัน  ต้องรวมกลุ่มกันสั่งซื้อสินค้าคราวเดียวกันครั้งละมากๆ โดยเข้าไปต่อรองกับ Suppliers ว่าต้องการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากและให้ลดราคาขายส่งให้กับกลุ่มสวนจตุจักรนี้  จะทำให้ต้นทุนราคาของลดลง  ผู้ค้าก็สามารถทำกำไรได้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเพิ่มราคาสินค้าหรือหาโปรโมชั่นอื่นๆ มาเป็นจุดดึงดูดลูกค้า
ประโยชน์ที่จะได้อีกประการหนึ่งก็คือ  กลุ่มที่จัดตั้งขึ้นอาจจะกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่  ลูกค้าชั้นดี ของโรงงาน  อำนาจการต่อรองต่างๆ เช่น การขอลดราคา  การขอเครดิต  ก็ทำได้ง่ายขึ้น  หากรวมกลุ่มได้ใหญ่มากเท่าไรก็เป็นการลดอำนาจการต่อรองของ Suppliers ได้มากเท่านั้น  โอกาสที่จะทำกำไรจากการขายสินค้าโดยที่มิต้องไปเพิ่มโปรโมชั่นหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็เกิดขึ้นได้ง่าย

3.       Bargaining Power of Customer (อำนาจการต่อรองของลูกค้า)
การรวมกลุ่มกันของผู้ขายของชำร่วยไม่เพียงแต่จะได้ประโยชน์จากการซื้อสินค้าได้ถูก (ในกรณีข้อ2) แล้ว  ยังทำให้อำนาจการต่อรองของลูกค้าลดลงอีกด้วย  วิธีนี้ใช้การกำหนดราคากลางของสินค้าขึ้นมาภายในกลุ่มเป็นราคาเหมือนกันหมด  ซึ่งสามารถทำได้ง่ายมากเนื่องจากว่าสินค้ามีแหล่งผลิตและต้นทุนเดียวกัน  ลูกค้าจะไม่สามารถต่อรองผู้ค้าได้เพราะราคาแต่ละร้านเท่ากันหมด  หากไม่พอใจในราคาสินค้าก็จำเป็นต้องซื้อเพราะว่าร้านอื่นก็ขายราคาเท่ากัน
ส่วนการทำกำไรด้านอื่นๆ นั้นเป็นเรื่องของเทคนิคแต่ละร้านว่าจะทำได้จากทางไหนบ้าง  โดยไม่กระทบต่อราคากลางที่ตกลงกันไว้  ตัวอย่างเช่น  ถ้วยเซรามิค  ซึ่งกำหนดราคากลางไว้ที่ 10 บาทต่อ 1 ถ้วย ร้านหนึ่งอาจจะทำ Package ให้สวยโดยการนำไปห่อด้วยพลาสติกสีสวยสดใสแล้วพิมพ์รายละเอียดตามที่ลูกค้าต้องการลงไป  ซึ่งอาจเพิ่มราคาเป็น 12-15 บาทได้  แล้วแต่กรณี

4.       Threat of Substitute Products or Services (ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน)
สินค้าประเภทของชำร่วยนี้เป็นสินค้าที่มีจุดประสงค์เพื่อนำไปเป็นที่ระลึกในวาระต่างๆ เช่น  งานแต่งงาน  งานศพ  งานวันเกิด  งานเปิดตัวสินค้าหรือร้านค้า  เป็นต้น  โดยของที่ระลึกที่จะนำมาขายนี้จะต้องเป็นของที่ทำเองได้ยาก เพื่อเป็นการลดอำนาจจากสินค้าทดแทน  เพราะว่าหากลูกค้าสามารถทำเองได้แล้วก็คงไม่มาซื้อสินค้าจากร้านค้าไปใช้
สินค้าที่จะนำมาเป็นของชำร่วยนั้นมีหลายชนิดและความหมายกว้างมาก  อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งสามารถนำมาใช้เป็นของชำร่วยได้ทั้งนั้น  แต่ที่นิยมนำมาใช้กันมาก  เช่น  การ์ด  ช้อนส้อม  พวงกุญแจ  นั้นจะเห็นได้ว่าเป็นสินค้าที่ลูกค้าไม่สามารถผลิตได้เอง  จะต้องไปสั่งทำจากโรงงานซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายที่สูง เพราะต้องสั่งทีละจำนวนมากๆ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างโรงงานกับบุคคลทั่วไปก็ไม่เท่ากับความสัมพันธ์ระหว่างโรงงานกับผู้ค้าโดยตรง  ดังนั้น  ลูกค้าจึงไม่ค่อยนิยมที่จะผลิตหรือไปซื้อเองตามแหล่งผลิต
ภัยที่เกิดจากสินค้าทดแทนไม่ค่อยเห็นเด่นชัดนักในเวลานี้  เพราะว่าคนทั่วไปก็ยังนิยมให้ของที่ระลึก  หรือให้ของชำร่วยกันในโอกาสต่างๆ  เพื่อเป็นการแสดงน้ำใจที่ดีต่อกัน  สิ่งที่ผู้ค้าควรกระทำก็คือพยายามหาสินค้าที่ใหม่ๆ ดูแล้วดี  เพื่อแสดงถึงเจตนาของผู้ให้ของที่ระลึกว่าให้เพื่อเป็นการตอบแทนกัน

5.       Threat of New Entrants (ภัยคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่)
ธุรกิจขายของชำร่วยเป็นธุรกิจที่สามารถทำเงินได้ไม่ยากนัก  เนื่องจากว่าคนไทยนิยมให้ของที่ระลึกกันในงานเทศกาลหรือโอกาสต่างๆ  ดังนั้นธุรกิจนี้จึงมีความน่าสนใจในด้านการลงทุน  และอาจเป็นการยากที่จะกันผู้ค้ารายใหม่ที่เข้ามาลงทุน
วิธีการป้องกันภัยคุกคามจากผู้แข่งขันหน้าใหม่  สำหรับร้านขายของชำร่วยในสวนจตุจักรที่มีอยู่ประมาณ 10 ร้านนั้น (เฉพาะในแหล่งกลุ่มเดียวกัน) จะต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อสร้าง Brand ขึ้นมา ตัวอย่างเช่น  กลุ่มของชำร่วยจตุจักรซอย 19  หรือ  กลุ่มของชำร่วยจตุจักร  เพื่อให้ลูกค้าได้รู้จักและติดกับBrand นั้น  อาจจะทำ Brochure แสดงสินค้าแจกตามหน้าตลาดหรือตามป้ายรถเมล์  เพื่อบอกให้รู้ว่าร้านขายของชำร่วยที่ตลาดนัดสวนจตุจักรนี้มีอยู่ที่เดียว  คือ ซอย 19  นอกเหนือจากนี้ก็เป็นร้านที่ไม่ใช่กลุ่ม  โดยปกติลูกค้าต้องการดูและเปรียบเทียบสินค้าที่มีจำนวนมาก  เพื่อเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุด  เมื่อรวมตัวกันได้แล้วก็จะทำให้ลูกค้าติด  และเป็นที่รู้จักกันทั่วไป  ผู้ค้าหน้าใหม่ที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจก็ต้องเข้ามาร่วมกลุ่มด้วย หากว่าตั้งอยู่โดดเดี่ยวหรือไม่ใช่กลุ่มแล้ว  โอกาสที่จะขายสินค้าได้นั้นจะมีน้อยกว่า  เพราะว่า Brand ที่กลุ่มได้สร้างขึ้นมานั้นแข็งพอที่จะดึงลูกค้าให้เข้ามาอุดหนุนได้
อีกวิธีการหนึ่งก็คือ การแตก Brand  คือการที่เจ้าของร้านต้องขยายร้านเอง  โดยการตั้งร้านใหม่ ชื่อใหม่  แต่เป็นเจ้าของเดิม  และจัดเป็นกลุ่มขึ้น  เพื่อเป็นการสกัดกั้นมิให้ผู้ค้ารายอื่นเข้ามาเปิดกิจการแข่ง เพราะว่ามีร้านขายอยู่เยอะแล้ว  จะเป็นการแย่งลูกค้าและลดรายได้กันเอง
credit จากคุณ 
Naruemanat



วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปีนี้ได้ตามเป้าหมาย


ได้ตามเป้าแต่ยังไม่ดีพอ








กดปุ่มที่ภาพเพื่อฟังเพลง



ตั้งคำถามที่ใช่  ก่อน  ถึงจะแก้ปัญหาได้



กดลงบนภาพเพื่อฟังเพลง

อย่างที่หลายท่านทราบดีว่าบริษัท แกะดำทำธุรกิจ เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจ
ในแต่ละวันจะมีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งที่โทรเข้ามาเพื่อสอบถามถึงบริการที่เรามี
ในแต่ละวันจะมีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งที่โทรเข้ามาเพื่อสอบถามถึงบริการที่เรามี
สิ่งแรกที่เราต้องถาม Prospect ที่สนใจบริการที่ปรึกษาของแกะดำทำธุรกิจเสมอ คือ “โจทย์” ของคุณคืออะไร เพื่อจะได้แนะนำบริการให้เขาได้ถูกจุด   คำตอบยอดนิยม: “อยากเพิ่มยอดขาย x เท่า”
มันก็ไม่ได้เป็นคำตอบที่ผิดอะไรค่ะ เพราะมันคงเป็นเป้าที่แทบทุกบริษัทต้องตั้งกันอยู่ทุกปี ใครๆ ก็อยากได้ยอดขายหรือกำไรเยอะๆ อันนี้เราเข้าใจ
แต่ที่แกะดำเราถือว่าโจทย์แบบนี้...มันกว้างเกินไป
โจทย์ที่เราอยากฟังจากลูกค้า คือ โจทย์ที่เมื่อฟังแล้วให้แรงบันดาลใจ ทำให้คนทำงานสามารถเอาไปต่อยอด ทำหน้าที่ของตัวเองในแต่ละแผนกเพื่อตอบโจทย์นั้นได้
ยอดขายมันเป็นเพียง “ผล” ที่เราบังคับให้เกิดไม่ได้
ในชีวิตจริง สิ่งที่เราทุกคนควรทำมันคือ ทำ “เหตุ” แล้ว “ผล” มันจึงจะเกิด เราเชื่อว่านี่คือสัจธรรม
หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับชาวนากับการปลูกข้าว
ในการปลูกข้าวแต่ละฤดู สิ่งที่ชาวนาต้องการคือ ข้าวที่ออกรวงเยอะๆ เพื่อเอาไปขาย นี่คือ “ผล”
แต่สิ่งที่ชาวนาต้องทำเพื่อให้ได้ข้าวมา คือ หว่านเมล็ด ดำนา ไถนา จัดการเอาน้ำเข้าออกตามสมควร นี่คือ “เหตุ”
ชาวนาไม่สามารถนั่งเฉยๆ หรือเสกให้ข้าวออกรวงได้เองโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เขาต้องทำปัจจัยต่างๆ ให้พร้อมตามความสามารถ เขาจึงจะได้ข้าวมา มากน้อยก็ขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้
ยอดขายก็เหมือนกัน มันไม่ได้มาของมันเอง เราบังคับมันไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือทำ “เหตุ” หรือ “ปัจจัย” ที่จะส่งผลให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้า
ไอ้ปัจจัยพวกนี้แหละ ที่เราเรียกว่าเป็นโจทย์
การจะตั้งโจทย์ที่ดีได้ นั่นแปลว่า คุณต้องรู้จักธุรกิจของคุณดีพอว่าปัจจัยที่จะทำให้ยอดขายมันงอกเงยมันอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วก็ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด เช่น สำหรับธุรกิจโรงแรม แทนที่จะตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรคุณจะเพิ่มยอดขายขึ้น 30% แต่คุณเปลี่ยนเป็นถามว่าทำยังไง Occupancy Rate ของเราจะสูงขึ้นในช่วง Low-season โจทย์แบบนี้จะให้แรงบันดาลใจกับทีมงานให้สามารถหาคำตอบบนโจทย์ที่แคบลงมาหน่อย รับรองว่ามันจะจุดประกายให้พวกเขาได้ไอเดียอีกมากมายในการทำงานค่ะ
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงให้ความสำคัญกับ “โจทย์”
เพราะสุดท้ายยอดขายของคุณจะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับการตั้งโจทย์ของคุณนั่นเองค่ะ
แหล่งข้อมูล
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php…

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Strategist VS Tactician จะชนะสงครามในสมรภูมิรบ หรีอสงครามทางธุรกิจ ต้องเริ่มต้นจากคำว่า What แล้วค่อยไปหาคำว่า How

สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นระหว่างปี 1939-1945 มันเป็นเรื่องราวของคนสองคนที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
Adolf Hitler กับ Winston Churchill
บทบาทของคนทั้งสองในฐานะเป็นผู้นำในการรบมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสามารถนำมาเป็นกรณีศึกษา
Churchill คือ Strategist ในขณะที่ Hitler เป็น  Tactician แต่สำคัญผิดคิดว่าตนเองคือ Strategist
Strategy คือความสามารถในการมองภาพใหญ่ ส่วน Tactic คือการเห็นแค่ภาพเล็ก ๆ เป็นชิ้น ๆ ที่ประกอบกันเป็นภาพใหญ่
Tactician คือพวกเก่งเฉพาะทาง
ส่วน Strategist เป็นพวกรอบรู้หลากหลายมิติ
Strategist กำหนดคำว่า What แล้วให้ Tactician ไปหาคำว่า How
วิธีทำงานของพวก Strategist คือ “Tight target with loose control”
และนี่คือสไตล์ในการทำงานของ Winston Churchill เขากำหนดแค่เป้าหมาย แล้วให้พวกแม่ทัพนาย กองซึ่งเป็น Tactician สาละวนกับการวางแผนรบ หาวิธีการที่ดีที่สุด
ในสงครามโลกครั้งที่สอง Churchill มี Strategy ง่าย ๆ เพียงประการเดียวคือต้องดึงสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลก เพราะในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง (1939-1941) สหรัฐอเมริกาประกาศตัวเป็นกลาง
เมื่อเขากำหนดเป้าหมายแล้ว เขาให้ทีมงานมีอิสระในการหาวิธีการ เขาไม่ไปกำหนดวิธีการของลูกน้อง
สิ่งที่เขาทำคือสุดยอดของความเป็น Strategist เพียงแต่บอกความต้องการ ตัวอย่างเช่น “อังกฤษต้องชนะในสงคราม North Africa ไม่มีข้อต่อรอง”
หลังจากนั้นเขาจะให้นายพลระดับห้าดาวเป็นคนบัญชาการรบ โดยนายพลคนนั้นเป็นคนเลือกแผนรบ
ถ้านายพลคนแรกทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ Churchill จะเปลี่ยนนายพลคนใหม่มาเป็นคนเลือก “วิธีการใหม่”
ด้วยความที่ Churchill ไม่เคยแทรกแซง “ยุทธการรบ” ทำให้เขามีเวลาอย่างเหลือเฟือในการมองภาพใหญ่ กำหนดตัว What ที่ถูกต้อง
ทำให้เขามีเวลาอย่างเหลือเฟือเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล Atlantic หลายครั้งเพื่อไปพบประธานาธิบดี Roosevelt เพื่อชักจูงรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร
ทำให้เขามีเวลาเพียงพอที่จะเปลี่ยนทัศนคติของคนอเมริกันเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง
Churchill รู้ดีว่าถ้าเขาดึงอเมริกามาร่วมรบได้เมื่อไร โอกาสที่สัมพันธมิตรจะชนะสงครามโลกมีแน่นอน เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีทรัพยากรในการรบมากที่สุดในโลก
ในขณะที่ Churchill เป็นคนที่มี Focused strategy
Hitler สร้างความผิดพลาดอย่างมหันต์ คิดว่าตัวเองเป็น Strategist ทั้ง ๆ ที่โดยเนื้อแท้แล้วเขาเป็นเพียง Tactician
Hitler มองภาพใหญ่ไม่เป็น เขาใส่ใจแต่รายละเอียดในการรบ เขาคือคนที่กำหนดตัว How ด้วยการแทรกแซง “แผนยุทธการในการรบ” ตลอดเวลา
แม่ทัพทุกคนของฝั่งเยอรมันนีต้องได้รับอนุมัติแผนการรบจาก Hitler จึงจะสามารถนำแผนรบนั้นออกไปปฏิบัติการได้ และบ่อยครั้งที่ Hitler เปลี่ยนแผนรบกลางคันในขณะที่แม่ทัพของเขากำลังนำแผนรบไปใช้
ความที่ Hitler บัญชาการรบอยู่ที่ Berlin เขาไม่มีทางรับรู้ถึงความสามารถในการขับเคลื่อนทัพที่แนวหน้า แต่ความที่ Hitler เป็นเผด็จการ คิดว่าตัวเองเก่ง จึงบัญชาการรบตามอำเภอใจ
สั่งซ้ายหัน ขวาหัน โดยไม่ฟังเสียงของนายพลของตนเองที่เป็น “ผู้เชี่ยวชาญในการรบตัวจริง”
ดังนั้นเยอรมันรบในสงครามโลกครั้งที่สองโดยไม่มี Strategic leader แต่มี Tactician ที่ห่วยมาก กำหนดยุทธการในการรบโดยไม่ฟังความเห็นจากผู้รู้ที่แนวหน้า
ข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ของ Hitler คือเมื่อเขาไม่สามารถที่จะล้มอังกฤษที่ตาต่อตา ฟันต่อฟันสู้กับเยอรมันอย่างไม่เกรงในศักดิ์ศรี เขาก็เริ่มเบื่อแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปโจมตี Russia ในครั้งแรกเขาบอกพวกนายพลของเขาให้ระดมสรรพกำลังไปโจมตีทางเหนือของ Russia ในขณะที่แม่ทัพนายกองกำลังระดมกำลัง
Hitler เปลี่ยนแผนรบ ด้วยคำสั่งให้ไปโจมตีภาคใต้
เมื่อกองทัพที่มีพลรบกว่าสองล้านคนเปลี่ยนทิศลงใต้ Hitler เปลี่ยนใจอีกครั้ง การโจมตีภาคเหนือน่าจะเป็นยุทธการที่ดีกว่า
กองทัพเยอรมันนีเสียเวลากับการเรียกแผนผิดของ Hitler เป็นเวลาหลายอาทิตย์
แล้วหิมะก็เริ่มตก แล้วเราก็ทราบดีว่าหลังจากนั้นอะไรเกิดขึ้น
กองทัพของ Russia บดขยี้ทัพของเยอรมันนี
และสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเต็มตัว โดยร่วมกับอังกฤษบุกหาด Normandy ในวัน D-Day นี่คือจุดเปลี่ยนของสงครามโลกครั้งที่สองที่ทำให้พันธมิตรชนะกลุ่มอักษะ
จะชนะสงครามในสมรภูมิรบ หรีอสงครามทางธุรกิจ
ต้องเริ่มต้นจากคำว่า What แล้วค่อยไปหาคำว่า How

ref. จาก FB  
แกะดำทำธุรกิจ